Friday, December 25, 2015

ใบความรู้ที่ 50 ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตร

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและหลักการของระบอบประชาธิปไตย
      ประชาธิปไตย เป็นระบบการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองของตนเอง ดังคำกล่าวที่กล่าวว่า “เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” มีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนหรือบางที่ก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนและผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งประชาชนกลุ่มหนึ่งที่จะอาสาจะเป็นผู้บริหารประเทศแทนประชาชนส่วนใหญ่ตามระยะเวลาและวิธีที่กำหนดไว้เป็นการแน่นอน เช่นกำหนดไว้อย่างแน่นอนทุก 2 ปี 4 ปี 5 ปี จะต้องมีการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นต้น
3. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพชั้นมูลฐานของประชาชน สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิตเสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การรวมกลุ่มและเสรีภาพในการชุมนุมเป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านั้น เว้นแต่เพื่อการรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน ฐานันดรหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษแก่บุคคลนั้น
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครองและในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง กๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง
  ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย กับระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น ฝรั่งเศส  ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา
 รูปแบบของระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
1. ประชาธิปไตยทางตรง ประชาชนเข้ามามีส่วนในการปกครองประเทศโดยตรง ไม่มีผู้แทนเคยปรากฎสมัยนครรัฐกรีกโบราณ ซึ่งมีจำนวนประชากรน้อย
           2. ประชาธิปไตยทางอ้อม หรือประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน ประชาชนจะเลือกตั้งตัวแทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ทั้งออกกฎหมาย และบริหารซึ่งเป็นลักษณะของประชาธิปไตยยังแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

ใบความรู้ที่ 49 พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจธิปไตย


พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย


พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของไทยที่สำคัญ มีดังนี้
1. พระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว หากไม่ทรงเห็นด้วยกับพระราชบัญญัติหรือร่างกฎหมายฉบับนั้น
2. การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถบริหารพระราชภาระด้วยเหตุใดก็ตาม พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
3. การแต่งตั้งองคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์สามารถทำได้ตามอัธยาศัย ซึ่งประกอบด้วยประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีไม่เกิน 18 คน
4. การแต่งตั้ง หรือให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งสมุหราชองครักษ์และเลขาธิการสำนักงานพระราชวังให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
5. การพระราชทานอภัยโทษ
6.  การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
7. การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
8. การแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ตามมติของสภา
9. การแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
10. การเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและทรงปิดการประชุม
11. การประกาศใช้หรือเลิกใช้กฎอัยการศึก
12. การประกาศสงครามโดยความเห็นชอบของรัฐสภา

บทบาทและพระราชฐานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
1. เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติ ก่อให้เกิดความสามัคคี พระองค์ทรงให้ความรัก ความเป็นห่วงพสกนิกรทั่วประเทศที่ได้รับความเดือดร้อน
2. ทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นอัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ให้ทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย มีความเจริญก้าวหน้า
3. เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องของชาติ อันเป็นประเพณีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณที่สถาบันกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศตลอดมา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทย
4.  ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพอันเป็นพระราชประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
5. ทรงมีพระราชฐานะที่อยู่เหนือกฎหมายแต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพบูชาของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ และทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
6. ทรงมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้วาพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ต่างมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ โดยการเสด็จเยือนนานาประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีตลอดมา
           7. ทรงเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขวิกฤตของชาติในด้านต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม จนปัญหาเหล่านี้บรรเทาและคลี่คลายไป นำความสุขสงบร่มเย็นมาสู่สังคมไทย

ใบความรู้ที่ 48 ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย



การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณ โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ลักษณะทางสังคม คือ ความเสมอภาคในการดำเนินชีวิต ทุกคนมีส่วนเท่าเทียมกัน
2. ลักษณะทางเศรษฐกิจ คือ ประชาชนมีโอกาสจะได้รับประโยชน์สุขทางเศรษฐกิจ
3. ลักษณะทางการเมือง คือ ประชาชนมีสิทธิทาการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง

      สำหรับความเป็นมาของประชาธิปไตยในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้เริ่มต้นขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงดำเนินรัฐประศาสโนบาย เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์
เพื่อถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการปกครอง และเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปีพุทธศักราช 2468
พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะวางรากฐานการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังปรากฏหลักฐานและเอกสาร การเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนหลายครั้ง
แต่ถูกยับยั้งจากที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรช่วงเวลานั้นกระแสการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนในที่สุดมีกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ในปีพ.ศ.2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาถึง 18 ฉบับ หลังจากนั้น ประเทศไทยได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจนถึงปัจจุบัน  

 ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
1. ประเทศไทยเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกไม่ได้
2. เป็นรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. อำนาจในการปกครองมาจากประชาชนหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
4. สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ        
5. รัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่กฎหมายอื่นจะขัดมิได้
6. อำนาจอธิปไตยมี 3 อำนาจ คือ
    อำนาจบริหาร มีหน้าที่ในการบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง
    อำนาจนิติบัญญัติิมีหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับภายในประเทศ

    อำนาจตุลาการิมีหน้าที่พิพากษาคดีความต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม

ใบความรู้ที่ 47 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูมิภาคเอเซียตำวันออกเฉียงใต้


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


           เริ่มจากการมีปฏิญญากรุงเทพ เพื่อร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน ในปี พ.ศ.2510 ประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีความร่วมมือทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ต่อกันใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสร้างความเจริญให้กับภูมิภาค
และในปีพ.ศ.2535 ประเทศทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 10 ประเทศก็ร่วมมือกันในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนขึ้น
ซึ่งจะเป็นความร่วมมือทางด้านต่าง ๆ ต่อกันให้มากขึ้น โดยลดอุปสรรคทางการค้าต่อกันได้น้อยลง เพื่อส่งเสริมมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นโดยลดภาษีให้แก่กัน
การส่งเสริมโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน การร่วมมือกันทางด้านการศึกษาในโครงการเยาวชนอาเซียน การแลกเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน
รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่อกัน เป็นต้น ปัจจุบันอาฟตาจัดเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียโดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีทางการค้าระหว่างกันให้เหลือ 0%
ปัจจุบันเขตการค้าเสรีอาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญที่สุดของไทยเนื่องจากมีประชากรรวมกันประมาณ 500 กว่าล้านคน มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงรองจากเอเชียตะวันออก จึงเป็นกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีพลัง

 ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่การค้าของไทยอยู่ในระดับที่ได้เปรียบดุลการค้ายกเว้นกับประเทศญี่ปุ่น ไทยยังเสียเปรียบดุลการค้า ตัวอย่างของความร่วมมือทางการค้า เช่น สิงคโปร์ ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าไทย 406 รายการ
ซึ่งประกอบด้วย สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อฟ้า และไทยกับเวียดนามตั้งกรรมการดูแลการประมงและผลประโยชน์ ผลของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชีย ทำให้ไทยสามารถขยายการค้า รักษาผลประโยชน์ด้านการลงทุน รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือด้านการค้ากับประเทศในแถบนี้มากขึ้น

 ความร่วมมือด้านความมั่นคงของประเทศ
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านคือ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มีปัญหาการขัดแย้งภายในประเทศส่งผลกระทบมาสู่พรมแดนไทย ความมั่นคงของชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนบริเวณชายแดน
ประเทศไทยมีเขตชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา แนวเขตแดนมีทั้งทอดไปตามยอดเขา และแนวสันปันน้ำแนวลำน้ำ แนวร่องน้ำลึก แนวที่ราบเส้นตรง และแนวเขตทางทะเล
ดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับพรมแดนมีผลกระทบต่อการบริหารท้องถิ่นในเขตจังหวัดชายแดน จำนวน 32 จังหวัด ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้มีการเจรจากันอยู่เป็นประจำ
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การลักลอบขายสินค้า แรงงานเข้าประเทศ การจับกุมชาวประมงไทย และการลักลอบทำลายป่า ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านได้กระทำอยู่เสมอ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา ผลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือด้านความมั่นคงก่อให้เกิดความสงบและการรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างดี

 ความร่วมมือทางการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยได้มีการแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มประเทศในเอเชีย
โดยจัดทำในลักษณะโครงการร่วมกันพัฒนาการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม จัดดำเนินการแก้ไขระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ซึ่งผลก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันลดความตึงเครียดระหว่างประเทศก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันที่ดี และเกิดสันติภาพในภูมิภาค

ใบความรู้ที่ 46 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น


      ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาได้มีกองทหารอาสาของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมรบกับทหารไทยหลายครั้ง รวมถึงการติดต่อค้าขายกันเรื่อยมา
โดยเฉพาะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้ไทยได้รับดินแดนที่ชาติตะวันตกยึดครองกลับคืนมาและในระยะแรกไทยเข้าร่วมรบโดยเป็นฝ่ายเดียวกับประเทศญี่ปุ่น
และหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาประเทศไทยกับญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจต่อกันเป็นส่วนใหญ่ โดยทางด้านการค้าประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ทำให้ประสบกับการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
โดยมียอดการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นสินค้าประเภททุน เครื่องจักรกลที่มีราคาแพง ด้านการลงทุน นักลงทุนชาวญี่ปุ่นจะเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด
ทำให้ไทยได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางด้านอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะความรู้ความชำนาญให้กับช่างฝีมือชาวไทยอย่างมาก
นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังให้ความช่วยเหลือทางด้านเงินกู้ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาวแก่ประเทศไทยในอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นจำนวนมากผ่านทางสถาบันทางการเงินต่าง ๆ
นอกนั้นทางด้านการเมืองการปกครอง ปัจจุบันทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่พระราชวงศ์ที่มีการเสด็จเยี่ยมเยือนกันตลอดมา และในระดับรัฐบาลก็มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดต่อกันในด้านต่างๆ
    สัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 12.0 และนำเข้าร้อยละ 20.5 การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่น (พ.ศ. 2550) ที่ได้รับการอนุมัติ จากคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 49 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด จากต่างประเทศ
การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา อย่างเป็นทางการของรัฐบาลญี่ปุ่น ต่อไทยในรูปทวิภาคี ก็คิดเป็นประมาณร้อยละ 70 - 80 ของการช่วยเหลือ ทั้งหมดที่ประเทศไทยได้รับ จากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศกลุ่ม DAC
    สิ่งที่ฝ่ายไทยให้ความสนใจ นอกจากการส่งเสริมการลงทุน ทางการค้า โดยเฉพาะ การทุ่มเทให้แก่ การส่งเสริมการส่งออก ดังเช่นในปัจจุบัน เพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤต ฝ่ายไทย ให้ความสนใจในเรื่องการส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ใบความรู้ 44 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา


   ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา มีมาตั้งแต่ตสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของชาติตะวันตก ที่ทำสัญญาทางการค้ากับประเทศไทย หลังสัญญาเบาว์ริ่ง และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ พ.ศ.2488 เป็นต้นมา
        ได้เกิดภาวะสงครามเย็น ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย หรือเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต
         เกิดสงครามตัวแทนและความตึงเครียดขึ้นทั่วโลก เช่น เหตุการณ์สงครามเวียตนาม สงครามเกาหลี เป็นต้น ไทยได้ดำเนินนโยบายตามหลังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐสนับสนุนให้ไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศ ที่แพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยจึงเป็นมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาตลอดมา
          โดยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางด้านต่าง ๆ ต่อกัน ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ในปี 2493 เพื่อร่วมมือในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. ด้านการเมืองการปกครองและการทหาร ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อกันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เหมือนสหรัฐ ยินยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม เป็นสมาชิกขององค์การ สปอ. เพื่อต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น
2. ทางด้านเศรษฐกิจ  ภายหลังปี 2493 สหรัฐอเมริกาได้มีสัญญาเพื่อให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของไทยจำนวนมากและภายหลังสหรัฐอเมริกาก็ได้เป็นตลาดนำเข้าสินค้าของประเทศไทยที่สำคัญที่สุดในโลกมีมูลค่าในการค้าขายต่อกันแต่ละปีจำนวนมากโดยไทยจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเรื่องดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาตลอดมา โดยสหรัฐอเมริกาได้มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับไทย ในสินค้าหลายชนิดจึงมีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำทำให้สินค้าไทยได้เปรียบสินค้าจากประเทศอื่นอย่างมาก
3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรม คนไทยได้รับเอาวัฒนธรรมทางด้านต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่สำคัญ คือ วัฒนธรรมทางด้านวัตถุ การบริโภค อุปโภคสินค้าอย่างฟุ่มเฟือยเป็นต้น
     ปัจจุบันประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกายังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและได้พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายความร่วมมืออื่นต่อกันทางด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทำให้ได้รับประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

ใบความรู้ที่44 การประชุมอาเซม


ใบความรู้ที่ 44  
การประชุมอาเซม



 การประชุมอาเซมจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 เป็นข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่ต้องการรักษาความสมดุลของภูมิภาค โดยต้องการเชื่อมโยงระหว่างมหาสุมทรแอตแลนติกกับแปซิฟิกให้ดียิ่งขึ้น โดยระหว่างการประชุมเอเปค ครั้งที่ 2 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนพฤศจิกายน 2537 นายกรัฐมนตรีไทยขณะนั้นคือนายชวน  หลีกภัย  ได้พบปะกับผู้นำสิงค์โปร์ และเห็นพ้องให้มีการประชุมร่วมของเอเชียกับยุโรป
     การประชุมอาเซม (ASEM) ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กรุงเทพฯ โดยฝ่ายเอเชียมี 10 ประเทศและยุโรป 15 ประเทศ เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและจะจัดให้มีการประชุมในทุก 2 ปี โดยการประชุมอาเซมครั้งที่ 2  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2541 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยได้มีการหารือเรื่องการค้าและการลงทุน เรื่องที่เกี่ยวกับองค์การการค้าโลกและได้ให้คำรับรองแผนปฏิบัติการส่งเสริมการลงทุน เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซม และเพื่อโอกาสทางการค้า นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน นโยบายทางสังคม การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล

 ประโยชน์ต่อประเทศไทย
    การเป็นสมาชิกอาเซมทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะสินค้าไทยได้รับการยกเว้นภาษีตามหลักของประเทศที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง และจากการได้สิทธิพิเศษภายใต้ระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรป ทำให้เสียภาษีนำเข้าสหภาพยุโรปในอัตราที่ต่ำกว่าปกตริ สหภาพยุโรปเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมต่ำมากสินค้าที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดของไทยคือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ก่อให้เกิดการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองภูมิภาคในระยะยาว
     การดำเนินการตามแผน Trade Promotion Action Plan เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซมเป็นไปได้สะดวกขึ้นเป็นประโยชน์ต่อการค้าทั้งสองภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาในเรื่องการลงทุนของทั้งสองภูมิภาค จึงควรผลักดันให้มีการดำเนินการตามแผน TPAP โดยเร็วที่สุด


ใบความรู้ที่ 43 นโยบายต่างประเทศของไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน


นโยบายต่างประเทศของไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน


    หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่าง ๆ ในโลกได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งความแตกต่างทางอดุมการณ์ทางการเมือง คือฝ่ายเสรีนิยมซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียต ซึ่งไทยมีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจีนเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับไทยมากนัก
    ชาติมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตที่ทำสงครามเย็นกันมาตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีนโยบายผ่อนคลายความตึงเครียดต่อกัน โดยสหภาพโซเวียตได้ประกาศนโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงการที่จะใช้นโยบายปิดล้อมประเทศคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะประเทศจีนไม่ได้ผล ประธานาธิปดีนิกสันแห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้เปิดสัมพันธไมตรีกับจีนขึ้นในปีค.ศ.1969 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศที่มีความขัดแย้งในด้านอุดมการณ์ทางการเมืองได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันทำให้ไทยที่เคยดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มาโดยตลอดต้องเปลี่ยนนโยบายของตนโดยหันมาสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนเป็นครั้งแรกในรัฐบาลของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 โดยลงนามกับนายกรัฐมนตรี โจ เอิน ไหล ของจีน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครั้งสำคัญของไทย ซึ่งส่งผลให้ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมาและเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน

 ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
1. เป็นการลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่เกิดการปฏิวัติในประเทศจีนในปี พ.ศ.2492
2. ประเทศไทยลดภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ลง เพราะภัยจากคอมมิวนิสต์ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของไทยมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่เมื่อไทยสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน จึงทำให้ภัยคุกคามดังกล่าวลดลง
3. ส่งเสริมให้เศรษฐกิจของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง เพราะสามารถที่จะค้าขายกับจีนได้มากขึ้น ถือเป็นการเปิดตลาดของสินค้าไทยครั้งสำคัญ ทำให้มีมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นมาจนถึงxปัจจุบัน
           4. เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการลดการเผชิญหน้าต่อกันของประเทศที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน

ใบความรู้ที่ 42 อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต


อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต


    การเมืองการปกครองเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในสังคมเดียวกัน การมีอำนาจบังคับสมาชิกในสังคมต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นระบบการเมืองการปกครองจึงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต โดยประชาชนทุกคนในสังคมจะต้องเคารพและปฏิบัติตนตามแนวทางเดียวกันตามที่ระบบการเมืองการปกครองนั้นกำหนด เช่น ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลก็จะให้สิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตแก่ประชาชนอย่างมาก แต่หากเป็นระบบการเมืองการปกครองในระบอบเผด็จการสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะถูกจำกัดโดยอำนาจรัฐ เป็นต้น
     ในการศึกษาเรื่องประชาชนกับบทบาททางการเมืองนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องทราบถึงเรื่องสิทธิ หน้าที่เสรีภาพและความสำนึกทางการเมือง  ตลอดจนมีความเข้าใจถึงพรรคการเมือง รวมไปถึงกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในสังคมไทยและมีอิทธิพลต่อระบบการเมืองการปกครอง   เช่น  กลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์  สื่อมวลชน  ระบบราชการรวมทั้งการแสดงประชามติ  หรือมติมหาชน หรือการทำประชาพิจารณ์ในเรื่องต่างๆ  และจากรัฐธรรมนูญ  พ.ศ. 2550  ยังมีองค์กรอิสระต่างๆ ที่ช่วยในการตรวจสอบ จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2550  ยังกำหนดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยรัฐธรรมนูญรับรอง การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพ ตามมาตรา 26 และมาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง รวมทั้ง บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือจากรัฐ ในการใช้สิทธินอกจากนี้ในมาตรา 29 ยังกำหนดว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
    จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2550  จะเห็นว่าได้กำหนดเรื่องสิทธิ ของบุคคลไว้อย่างชัดเจนคือหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 26-69 และหมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา 70-74 และที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญไทยฉบับใดที่มีการรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงนับได้ว่า  รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชนชาวไทยเท่าเทียมกับกฎหมายสากลทั่วไป  สิ่งที่ควรรู้ต่อไปคือคำว่าสิทธิหมายถึงอะไรและบุคคลมีสิทธิเรื่องใดบ้าง

ใบความรู้ที่ 41 ปัญหาการเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ

ใบความรู้ 41ปัญหาการเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ

     จากการที่ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วส่งผลทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครองที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในด้านการเมืองการปกครองมากขึ้นส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่อการเมืองการปกครองขึ้นภายในประเทศ
   ปัญหาวิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งมีความเห็นต่อต้านและสนับสนุนต่างๆนานา  และยังสะท้อนถึงความไม่เสมอภาคและความแตกแยก  ระหว่างชาวเมืองและชาวชนบทอีกด้วยจึงทำให้การเมืองไทยปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีที่จะยุติลง  และยังส่งผลถึงปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากมายและทำให้เสื่อมลงอย่างเรื่อยๆจนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และในปัจจุบันการเมืองไทยยังขาดประสิทธิภาพและความสามรถของระบบการเมืองในการแก้ไขปัญหาของสังคมซึ่งยังเป็นปัญหาของระบบการเมืองไทยที่จะต้องแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ

 ปัญหาที่สำคัญมีดังนี้
1. ปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญ โดยเกิดปัญหาการตีความเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่คลาดเคลื่อนเนื่องจากผู้มีอำนาจในประเทศพยายามตีความรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง รวมถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยครั้งจนเกินไปทำให้ขาดความต่อเนื่องในการบังคับใช้
2. ปัญหาการขาดความสามัคคีของประชาชนไทย ซึ่งมีผลมาจากการมีความคิดเห็นทางด้านการเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน ความไม่ยุติธรรมของกระบวนการทางสังคมต่าง ๆ รวมถึงการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เกิดปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น เป็นต้น
3. ปัญหาการขาดจริยธรรมทางการเมืองของประชาชนชาวไทย เช่น การซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้งของประชาชน นักการเมืองมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องมากเกินไป การไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เป็นต้น


ใบความรู้ที่ 40 การเสียภาษีอากร


ใบความรู้ที่ 40
การเสียภาษีอากร


 ภาษีอากร คือ เงินที่รัฐจัดเก็บจากบุคคล เพื่อนำไปใช้จ่ายในการบริหารประเทศเป็นรายได้ที่สำคัญที่สุดของรัฐ ภาษีอากรที่รัฐจัดเก็บมีทั้งภาษีทางตรง และภาษีทางอ้อม แยกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีที่เก็บจากเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า และอากรแสตมป์
2. ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่เก็บจากสิ่งประดิษฐ์และผลิตขึ้นในประเทศ
3. ภาษีศุลากร เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศ

    เงินได้ หมายถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากสิ่งต่อไปนี้ การใช้แรงงาน การใช้เงินลงทุน การใช้ทรัพย์สินลงทุน การใช้วิชาชีพอิสระ หรือจากการใช้ความสามารถพิเศษ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์เงินได้ หมายถึง ผลบวกของการบริโภคและมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นในรอบระยะเวลาหนึ่ง ฉะนั้นเงินได้จึงมิได้อยู่ในรูปของตัวเงินเสมอไป ผู้ที่มีเงินได้ตามหลักเกณฑ์จะต้องดำเนินการเสียภาษีให้เรียบร้อย

 ลักษณะการเก็บภาษีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. บุคคลธรรมดา มีหน้าที่เสียภาษีอากรเมื่อมีเงินได้ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป โดยต้องยื่นเสียภาษีภายในวันที่ 31  มีนาคมของปีถัดไป โดยเก็บจากเงินได้พึงประเมินผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหลือเป็นเงิน ได้สุทธิเท่าใดจึงนำไปคำนวณภาษี ปัจจุบันการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นในอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึง ร้อยละ 37 ซึ่งเก็บตามฐานจำนวนรายได้ โดยผู้มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมากขึ้นเป็นต้น
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล  เป็นภาษีที่จัดเก็บจากนิติบุคคล โดยจะเก็บจากกำไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีได้รับในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ หรือในอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ยกเว้น ถึงร้อยละ 30 หากเป็นกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันผู้ผลิตจะผลักภาระนี้ ให้แก่ผู้ซื้อจ่ายเองในอัตราร้อยละ 7

 ประโยชน์ของภาษีอากร คือ
1. ก่อให้เกิดการใช้งานเต็มที่
2. เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมที่สุด
3. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4. เพื่อให้การกระจายรายได้และความมั่งคั่งเป็นธรรม
5. เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ

ใบความรู้ที่ 39 กฏหมายแพ่งและพาณิชย์


ใบความรู้ที่ 39
กฏหมายแพ่งและพาณิชย์


กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
    กฎหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน การกู้เงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต้องทำสัญญากู้เงินเป็นลายลักษณ์อักษรจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยสามารถคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือไม่เกิน 1.25 ต่อเดือน โดยการกู้ยืมเงินเป็นโมฆะถ้าเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
   กฎหมายเกี่ยวกับค้ำประกัน จะประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ โดยผู้ค้ำสัญญาว่าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดผู้ค้ำก็จะเป็นผู้ชำระหนี้แทน
   กฎหมายเกี่ยวกับการจำนอง หมายถึง การนำทรัพย์สินของตนไปให้กับบุคคลอื่น เพื่อประกันการชำระหนี้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด ต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรลงลายมือชื่อของผู้จำนองและผู้รับจำนอง และต้องทำต่อหน้าเจ้าพนักงานเท่านั้น เพราะทรัพย์สินที่สามารถจำนองได้เป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์
   กฎหมายเกี่ยวกับการจำนำ หมายถึง การนำทรัพย์สินของตนมาให้กับบุคคลอื่นเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ทั้งที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินของตนไว้ให้แก่บุคคลผู้นั้นด้วย โดยไม่ต้องทำต่อหน้าที่เจ้าพนักงาน สามารถทำกันเองได้เป็นทรัพย์ประเภทสังหาริมทรัพย์ แล้วต้องไถ่ถอน ตามเวลาที่กำหนดถ้าไม่ทำตามสัญญาผู้รับจำนำสามารถนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาบังคับ
  กฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขาย
1. สัญญาซื้อขายธรรมดา  เป็นสัญญาที่บุคคลหนึ่งโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนไปให้แก่อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อโดยผู้ซื้อตกลงว่าจะชำระราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขายซึ่งมีสิทธิสำคัญ คือ การซื้อขายได้ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ตกลงทางเวลาก็พอแล้วและถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะมีความสมบูรณ์
2. สัญญาขายฝาก เป็นการทำสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินตกเป็นของผู้ซื้อแล้วโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ถอนทรัพย์ของตนคือมาได้ในเวลาที่กำหนด ถ้าพ้นกำหนดแล้วไม่มีการไถ่คืนทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของผู้ซื้อทันทีไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาล
 
กฎหมายเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์
การเช่าทรัพย์ หมายถึง การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของผู้อื่นชั่วคราวในระยะเวลาที่กำหนด โดยจ่ายค่าเช่าเป็นสิ่งตอบแทน แต่ผู้เช่าจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าแต่อย่างใด มีทั้งการเช่าทรัพย์ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรถ้าเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์จะมีสัญญาเช่าไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่อสัญญาได้เมื่อครบกำหนดสัญญา
กฎหมายเกี่ยวกับการเช่าซื้อ
การเช่าซื้อ หมายถึง การที่เข้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินของตนออกมาให้ผู้อื่นเช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นให้ หรือยกทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้เช่าจะต้องชำระเงินให้แก่เจ้าของทรัพย์สินนั้นเป็นงวด ๆ จนครบตามที่กำหนด โดยหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการเช่าซื้อคือ จะต้องมีการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร และผู้เช่าซื้อค้างชำระมาเช่าซื้อ 2 งวด ติดต่อกันเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ให้เช่ามีสิทธิในการบอกเลิกสัญญามาได้ แล้วนำทรัพย์สินนั้นกลับมาเป็นของตน

ใบความรู้ที่ 38 กฏหมายแพ่ง


ใบความรู้ที่ 38
กฏหมายแพ่ง


กฏหมายแพ่ง
    คำว่าแพ่ง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่าเกี่ยวกับ เอกชน กฎหมายแพ่งจึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับเอกชน หรือคนแต่ละคน ทั้งเมื่ออยู่ตามลำพังและเมื่อติดต่อกับผู้อื่นเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน นิติกรรม สัญญาต่าง ๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทุกคน จำเป็นต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ครบถ้วน
    กฎหมายแพ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
กฎหมายแพ่ง คือ ระเบียบ กฎเกณฑ์กับส่วนเอกชนและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านสถานภาพ สิทธิและหน้าที่ เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับทรัพย์สิน ครอบครัว มรดก นิติกรรม เป็นต้น
   ประเภทของทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่สำคัญมี 2 ประเภท คือ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์เคลื่อนที่ได้และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ทรัพย์ที่ติดอยู่กับดิน เช่น สิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น

     สิทธิในทรัพย์สิน
สิทธิในทรัพย์สิน คือ ประโยชน์ที่บุคคลจะพึงมิพึงได้ในทรัพย์สินนั้น แม้จะไม่มีรูปร่าง แต่ก็อาจมีราคาและยึดถือเอาได้ สิทธิในทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใด ผู้นั้นย่อมมีสิทธิครอบครอง จำหน่าย จ่ายแจก หรือได้ดอกผลจากทรัพย์สินนั้นหรือแม้กระทั่งการทำลายทรัพย์สินนั้นตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ การได้มาซึ่งสิทธิในทรัพย์สินมี 2 ประการ คือ ได้มาโดยกฎหมายและได้มาโดยนิติกรรมและสัญญา
1. การได้สิทธิโดยกฎหมาย คือ การได้มาตามบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ที่กฎหมายปรับปรุง
2. การได้สิทธิมาโดยนิติกรรมและสัญญาเป็นการได้สิทธิตามข้อตกลง หรือการทำสัญญา เช่นสิทธิในการรับทรัพย์สินเป็นมรดกตกทอดตามพินัยกรรม สิทธิ ในทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขาย สิทธิในผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าทรัพย์ เป็นต้น
3. การใช้สิทธิในทางแพ่ง การถือสิทธิในทางแพ่งต่างกับการใช้สิทธิในทางแพ่ง กล่าวคือ บุคคลธรรมดาทุกคนตั้งแต่เกิดมามีชีวิตรอดยู่ มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย ก็ย่อมมีความสามารถที่จะถือสิทธิเช่น การมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือการมีสิทธิในร่างกายในชีวิตของเรา โดยไม่ถูกจำกัดเรื่องอายุ เพศ ศาสนา การศึกษา สติปัญญา สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบกระเทือนในการถือสิทธิแต่อย่างใด เมื่อถือสิทธิแล้วจะใช้สิทธินั้นได้เพียงใดย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมาย
4. นิติกรรม หมายถึง การใด ๆ อันทำลงไปโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัครมุ่งโดยตรง ต่อการผูกสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อการเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิองค์ประกอบนิติกรรม นิติกรรมจะต้องเกิดจากการกระทำของบุคคลและประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
   1. ต้องมีการแสดงเจตนาของบุคคล หมายความว่า บุคคลนั้นกระทำสิ่งใดลงไปเพื่อต้องการผลอย่างใดอย่างหนึ่งทางกฎหมาย หรือมีความประสงค์ที่จะก่อความสัมพันธ์ขึ้นตามกฎหมาย เช่น การทำสัญญาเป็นต้น
   2. จะต้องเป็นการกระทำด้วยความสมัครใจ กล่าวคือ เมื่อมีการแสดงเจตนากระทำแล้ว การกระทำนั้นต้องกระทำด้วยความสมัครใจอีกด้วย
   3. ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ผลของนิติกรรมนั้นกฎหมายยอมรับในการคุ้มคารองและบังคับบัญชาให้เกิดผลตามทีเจตนากระทำ ฉะนั้นการกระทำดังกล่าว จึงจะต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

ใบความรู้ที่ 37 วิธีการดำเนินคดีและโทษของกฏหมายอาญา


ใบความรู้ที่ 37
วิธีการดำเนินคดีและโทษของกฏหมายอาญา


  การดำเนินคดีอาญานั้น มีความมุ่งหมายที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าข้อ เท็จจริงที่เกิดขึ้น อันเกิดจากการกระทำความผิดทางอาญานั้น ใครเป็นผู้กระทำความผิด และผู้ที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่
ซึ่งการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นจะต้องกระทำโดยศาลตามหลักในกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ในกระบวนการก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ กฎหมายให้คดีเรื่องนั้นต้องได้รับการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายจากพนักงานสอบสวน และการสอบสวนของตำรวจนี้
กฎหมายให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวน ที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ว่า จะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ
เพื่อจะนำมาพิสูจน์ความผิด เพื่อทราบลักษณะของการกระทำความผิด และเพื่อพิสูจน์ว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่
ในกรณีที่มีหลักฐานน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำผิด พนักงานสอบสวนจะเสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ต่อพนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการดำเนินการสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าว กฎหมายจึงให้อำนาจตำรวจในการจับ ควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิด
หรืออำนาจในการค้นสถานที่ เพื่อหาสิ่งของที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐาน และยึดสิ่งของนั้นไว้ หรือค้นเพื่อจับตัวบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิด
หรือปล่อยตัวบุคคลที่ควบคุมไว้ชั่วคราว โดยมีประกันและไม่มีประกัน เมื่อพนักงานอัยการได้สำนวนการสอบสวนจากตำรวจแล้วพนักงานอัยการ มีหน้าที่ตรวจสอบสำนวนการสอบสวน และทำคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล
ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง ก็จะนำคำฟ้องพร้อมด้วยตัวผู้ต้องหา ไปยื่นฟ้องต่อศาล แล้วนำพยานหลักฐานเข้าสืบ ซึ่งรวมถึงพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ด้วย
หรืออาจเป็นพยานเอกสาร พยานวัตถุ หรือพยานผู้ชำนาญการเข้ามา เพื่อการนำสืบข้อเท็จจริงในศาลนี้
พนักงานอัยการ หรือผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ จะต้องนำหลักฐานมาสืบจนเป็นที่พอใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
ส่วนจำเลยก็มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าการกระทำของตนไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์กล่าวหา
     หลังจากที่ได้สืบพยานโจทก์และจำเลยจนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่นำสืบต่อศาล
ถ้าเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ศาลจะพิพากษาลงโทษตามที่กฎหมายบัญญัติสำหรับความผิดนั้น
แต่ถ้าเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หรือมีเหตุอื่นที่จะทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดทางอาญา หรือคดีขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว ศาลจะพิพากษายกฟ้องและปล่อยจำเลยไป

 วิธีดำเนินคดีทางอาญาสรุปสั้นๆได้ดังนี้
1.  การกระทำผิดแล้วมีการร้องทุกข์และกล่าวโทษหรือการแจ้งความ
2.  การสืบสวน สอบสวน ทำสำนวนคดีโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3.  การพิจารณาตรวจสอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนของพนักงานอัยการ ถ้ามีหลักฐานอัยการก็จะสั่งฟ้องคดี และนำขบวนการไปสู่ชั้นศาลต่อไป ถ้าสำนวนไม่มีหลักฐานเพียงพอก็จะไม่สั่งฟ้องถือว่ายุติคดี
4.  เมื่ออัยการสั่งฟ้องต้องไปสู่การพิจารณาในกระบวนศาล ซึ่งมี 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เมื่อศาลตัดสินคดีถึงที่สุดแล้วต้องไปสู่การบังคับคดี
5.  การบังคับคดี คดีอาญาผู้บังคับคดีคือกรมราชทัณฑ์ตามคำสั่งของศาล
 โทษทางอาญา
  จากเบาไปหนัก แบ่งออกเป็น 5 ชั้นคือ
1. การริบทรัพย์สิน คือ ริบเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของหลวง เช่น ปืนเถื่อน เงินที่ได้มาโดยวิธีไม่สุจริต
2. การปรับ คือ นำค่าปรับซึ่งเป็นเงินไปชำระให้แก่เจ้าพนักงาน
3. การกักขัง คือนำตัวไปขังไว้ ณ ที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำ เช่น นำไปขังไว้ที่สถานีตำรวจ           4. การจำคุก คือ นำตัวไปขังไว้ที่เรือนจำ
5. ประหารชีวิต คือ นำตัวไปยิงด้วยปืนให้ตาย

ใบความรู้ที่ 36 ผู้กระทำผิดและประเภทของความผิด


ใบความรู้ที่ 36
ผู้กระทำผิดและประเภทของความผิด


 ผู้กระทำผิดอาญา
ผู้กระทำผิดอาญาแบ่งได้ 4 ประเภท คือ
1. ผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง คือ การกระทำความผิดที่ผู้กระทำความผิดได้ลงมือกระทำความผิดนั้นด้วยตนเอง
2. ผู้ร่วมกระทำความผิด คือ การกระทำความผิดที่มีผู้อื่นมาร่วมกระทำผิดด้วย
3. ผู้ใช้ให้กระทำความผิด คือ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้ใช้ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิด แต่ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
4. ผู้สนับสนุนการกระทำผิด คือ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือเอื้ออำนวยให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด ผู้สนับสนุนต้องได้รับโทษ 2 ใน 3 ของผู้กระทำผิด


 
ประเภทของความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญาประเภทของความผิดมี 9 ประเภท ดังนี้
1. ความผิดต่อชีวิต คือ  ความผิดที่กระทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. ความผิดต่อร่างกาย คือ การกระทำผิดซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย เช่น ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ คือ ผู้กระทำผิดได้ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนได้รับบาดเจ็บแก่กายหรือจิตใจ
3. ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ คือ ความผิดที่กระทำต่อทรัพย์ของผู้อื่น ซึ่งมีด้วยกันหลายประเภท
4. ความผิดฐานเป็นกบฏ เช่น ให้กำลังทุบร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร
5. ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ เช่น สะสมกำลังคนหรืออาวุธ หรือเตรียมการเป็นกบฏ ยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ หรือก่อการกำเริบยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน ปิดงาน งดจ้าง หรือไม่ยอมค้าขาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดิน หรือบังคับรัฐบาล หรือข่มขู่ประชาชน
6. ความผิดฐานวางเพลิง  การลอบจุดไฟเผาอาคารบ้านเรือนหรือทรัพย์ หากเป็นอาคารสถานที่สาธารณะ มีโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต แม้การวางเพลิงทรัพย์สินของตนเองก็มีโทษ ถ้าการกระทำนั้นอาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น
7. ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา เช่น ทำธนบัตรปลอมหรือเหรียญกษาปณ์ปลอมนอกจากผู้ปลอมจะมีความผิดแล้ว ผู้ที่นำไปใช้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นของปลอมก็มีความผิดด้วย
8. ความผิดเกี่ยวกับเพศ เช่น การข่มขืนกระทำชำเรามีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี ถ้ามีอาวุธข่มขู่ด้วย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี หรือตลอดชีวิต ถ้าเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ย่อมมีโทษที่หนักขึ้น
9. ความผิดฐานทำให้แท้งลูก หญิงที่ทำตนเองหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก มีความผิดฐานทำให้แท้งลูก และผู้ทำแท้งก็มีความผิดด้วยแม้ฝ่ายหญิงจะยินยอมก็ตาม

ใบความรู้ที่ 35 ความผิดทางอาญา


ใบความรู้ที่ 35
ความผิดทางอาญา


ความผิดอาญา
     ความผิดอาญาที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันตามปกติธรรมดา อาจจำแนกได้ ดังต่อไปนี้
1. ความผิดอาญาแผ่นดิน  เป็นความผิดทางอาญาซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว และไม่สามารถยอมความกันได้ความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดินนั้น แม้จะไม่มีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือไม่มีผู้ใดกล่าวโทษเจ้าพนักงานสอบสวนหรือตำรวจก็มีอำนาจสืบสวนดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำความผิดได้
2. ความผิดอาญาที่ยอมความได้ หมายถึง ความผิดอาญาที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวซึ่งเป็นความผิดอาญาอันยอมความได้นี้ เช่น ความผิดฐานยักยอก ความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดที่เกี่ยวกับเพศบางลักษณะซึ่งตามกฎหมายให้เป็นความผิดอันยอมความได้ โดยความผิดอาญาใดเป็นความผิดอันยอมความได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์หรือแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจภายใน 3 เดือน
การกระทำผิดอาญา
การกระทำผิดอาญาแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. การกระทำผิดโดยเจตนา  คือ การกระทำผิดที่ผู้กระทำผิดได้กระทำโดยรู้ และประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำนั้น เช่น นายดำใช้ปืนยิงนายแดงจนถึงแก่ความตาย โดยนายดำรู้ตัวว่ายิงนายแดงและมีความประสงค์ให้นายแดงตาย นายดำมีความผิดฐานฆ่านายแดงตายโดยเจตนา เป็นต้น

 2. การกระทำผิดโดยไม่เจตนา คือ การกระทำผิดโดยมีเจตนาร้าย แต่ไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือมิได้เล็งเห็นผลในการกระทำเช่น นาย ก ทำปืนลั่นถูกนาย ข จงถึงแก่ความตาย แม้ว่า นาย ก ไม่ได้เจตนาทำร้ายนาย ข แต่นาย ก ก็มีความผิดฐานฆ่านาย ข ตายโดยไม่เจตนา เป็นต้น
3. การกระทำผิดโดยประมาท  คือ การกระทำผิดที่กระทำโดยไม่เจตนา แต่ได้กระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง เช่น นายก ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้รถไปชนนายขาว ซึ่งเดินอยู่ข้างถนนถึงแก่ความตาย นาย ก มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย นาย ก ไม่มีมีเจตนาชนนายขาว แต่นาย ก ขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง จนเป็นเหตุให้ชนนายขาวถึงแก่ความตาย

ใบความรู้ 34 กฏหมายอาญาที่เกี่ยวกับชีวิตจำวัน


ใบความรู้ที่ 34
กฏหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน


 กฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
    การที่บุคคลหนึ่งไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น นอกจากจะเกิดความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับสิทธิในทางแพ่งแล้วบางกรณียังอาจจะก่อให้เกิดความรับผิดในทางอาญาด้วยก็ได้ การกระทำที่จะต้องรับผิดในทางอาญานั้น เป็นเรื่องของการกระทำที่มีความผิดและมีโทษในทางอาญา
กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำอย่างใดเป็นความผิด (ลักษณะความผิด) และกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น (ลักษณะโทษ)
หลักเกณฑ์สำคัญของความผิดทางกฎหมายอาญา มีดังนี้
1. ไม่มีความผิดในทางอาญาถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้กล่าวคือ การกระทำใด ๆ จะเป็นความผิดทางอาญาต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าาการกระทำนั้น ๆ เป็นความผิด
2. ไม่มีโทษทางกฎหมายไม่บัญญัติไว้ให้ต้องรับโทษ กล่าวคือ บุคคลจะรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อมีกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่กระทำนั้น บัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ เช่น โทษปรับ โทษจำคุก เป็นต้น
3.ไม่มีผลย้อนหลังให้รับโทษทางอาญา กล่าวคือ กฎหมายอาญาจะไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษบุคคลให้ต้องรับโทษ ถ้าในขณะที่กระทำนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด แต่อาจย้อนหลังในทางที่เป็นคุณได้ ให้รับโทษน้อยลง
4. ต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ บทบัญญัติในกฎหมายอาญาจะตีความให้เป็นการขยายไปลงโทษหรือเพิ่มโทษในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนไม่ได้

   กฎหมายอาญา คือ กฎหมายทุกอย่างที่บัญญัติถึงลักษณะความผิดและลักษณะโทษทางอาญา แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. ต้องมีการกระทำ
การกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก การละเมอ หรือการถูกสะกดจิตแล้วกระทำความผิดในระหว่างนั้น ย่อมไม่ใช่การกระทำ จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
2. ก่อนที่จะมีการกระทำความผิดขึ้น จะมีขั้นตอนของการกระทำเป็น 3 ระยะ
    1.  การคิดที่จะกระทำ
    2.  ตกลงใจหรือตัดสินใจที่จะกระทำ
    3.  ได้มีการกระทำตามที่ตกลงใจนั้น
3. การกระทำนั้นเข้าองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ เมื่อมี “การกระทำ” แล้วต้องพิจารณาต่อไปว่าการกระทำนั้นเข้าองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดหรือไม่

ใบความรู้ที่ 33 หฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค


ใบความรู้ที่ 33
กฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค


 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย
ปัจจุบันกฎหมายคุ้มครองแก่ผู้บริโภคที่สำคัญในประเทศไทยมีดังนี้
1.กฎหมายว่าด้วยอาหารและยา โดยสาระสำคัญ คือ อาหารจะต้องมีฉลากแสดง รวมถึงต้องบรรจุในภาชนะที่สะอาด มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และกฎหมายที่เกี่ยวกับยา จะให้ความคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง เช่น การบริโภคยาปลอม, ยาผิดมาตรฐาน, ยาเสื่อมคุณภาพ และการโฆษณายาที่อวดอ้างสรรพคุณยาเกินความเป็นจริง
2.กฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้เครื่องสำอาง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ หรือมีส่วนประกอบของวัตถุมีพิษ จึงต้องมีการขึ้นทะเบียนเครื่องสำอางให้ถูกต้อง ลักษณะเครื่องสำอาจที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น เครื่องสำอาจที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน , เครื่องสำอางปลอม, เครื่องสำอางผิดมาตรฐาน เป็นต้น
3. กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535  เพื่อควบคุมวัตถุที่ก่อให้เกิดอันตราย ทั้งต่อบุคคล สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น วัตถุไวไฟ วัตถุมีพิษต่าง ๆ หรือวัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อร่างกาย เป็นต้น ซึ่งการผลิตและการนำเข้าวัตถุอันตรายเหล่านี้ต้องได้รับอนุญาต
4. กฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 กำหนดให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย เพื่อให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากรถ ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคนเดินถนนหรือทางเท้าที่ได้รับความเสียหายทางร่างกาย สุขภาพอนามัยและถึงแก่ชีวิตผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

 สิทธิของผู้บริโภค
     พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคพ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2541 ได้ให้คำจำกัดความของผู้บริโภคว่า หมายถึงหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ หรือผู้ใช้สินค้า หรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้จะมิได้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
รวมถึงผู้ได้รับเสนอหรือชักจูงจากผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการสิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมาย พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคพ.ศ. 2522 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2541) ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย 5 ประการดังนี้
1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่างๆ อย่างถูกต้อง ทั้งการโฆษณา คำพรรณนาคุณภาพ หรือการแสดงฉลาดตามความเป็นจริง
2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะเลือกซื้อด้วยความสมัครใจ มีอิสระในการตัดสินใจ โดยปราศจากการชักจูงอย่างไม่ชอบธรรม
3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัย มีคุณภาพได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ
4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา การทำสัญญาใด ๆ ของผู้บริโภคจะต้องไม่โดนเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ ข้อความในสัญญาจะต้องเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค
5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ผู้บริโภคมีสิทธิจะได้รับการคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายเมื่อผู้ประกอบธุรกิจละเมิดใน 4 ข้อข้างต้น

ใบความรู้ที่ 32 กฏหมายเกี่ยวกับการศึกษา


ใบความรู้ที่ 31 กฏหมายเกี่ยงกับภาษีอากร


ใบความรู้ที่ 31
กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร


 ภาษีอากร คือเงินที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนตามกฏหมายเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ โดยรัฐกำหนดว่าประชาชนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ เพื่อรัฐจะได้ใช้เงินสำหรับการใช้จ่ายในด้านต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ความสุขต่างๆ ของประชาชน รายได้ของรัฐบาลที่เรียกเก็บเงินภาษีของประชาชนที่ต้องจ่ายให้รัฐมีรายละเอียดดังนี้
กรมที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี 3 กรมหลักอยู่ในสังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต
   ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกรมสรรพากร กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม มีสาระสำคัญดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลผู้มีรายได้ เช่น ข้าราชการพนักงานผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ทนายความ นักร้อง นักแสดง เป็นต้น ทั้งนี้จะเก็บจากเงินได้พึงประเมินที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับ หักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อยเหลือเป็นเงินได้สุทธิเท่าใด จึงนำไปคำนวณภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ในปัจจุบันภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารัฐจะเรียกในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 37 หมายถึง ผู้ที่มีรายได้มากย่อมต้องเสียภาษีมาก  ผู้มีรายได้น้อยจะเสียภาษีน้อย
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน ฯลฯ โดยจะเก็บจากกำไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ

 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้าและบริการ โดยผู้ขายสินค้าหรือให้บริการจะเรียกเก็บจากลูกค้า ในอัตราร้อยละ 7 และนำภาษีดังกล่าวไปชำระต่ออำเภอหรือสำนักงานเขตทุกเดือน ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีการค้าอย่างหนึ่ง การขายสินค้าหรือให้บริการต่อไปนี้ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า

 กฎหมายภาษีอากรทุกฉบับ มีหัวข้อสำคัญอันเป็นโครงสร้างของกฎหมายฉบับนั้นๆ ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 6 หัวข้อด้วยกัน คือ
1.   ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร หรือผู้อยู่ในข่ายเสียภาษีอากรจะเป็นใครบ้างย่อมแล้วแต่กฎหมายนั้นๆ จะกำหนด แต่โดยทั่วไปมักได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
2.  ฐานภาษีอากร  ในความหมายอย่างกว้าง  หมายถึงสิ่งที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีอากร  เช่น การมีรายได้  การมีทรัพย์สิน  หรือการใช้จ่าย  เป็นต้น  ในความหมายอย่างแคบ  หมายถึง  สิ่งที่รองรับอัตราภาษีอากร (ภาษีอากรที่ต้องเสีย =  ฐานภาษีอากร ? อัตราภาษีอากร)
3.  อัตราภาษีอากร  แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ  คือ  แบบคงที่  แบบก้าวหน้า  แบบถดถอย
4.  การประเมินจัดเก็บภาษีอากร ภาษีอากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรเป็นผู้ดำเนินการประเมินตนเอง โดยประเมินหรือคำนวณตามวิธีการและตามกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ แล้วยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีอากรตามจำนวนที่พึงต้องชำระ ถ้าผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรไม่ดำเนินการประเมินตนเองหรือประเมินตนเองอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่สมบรูณ์ก็จะมีการประเมินโดยเจ้าพนักงานซึ่งในกรณีหลังนี้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินให้ผู้เสียภาษีอากรต้องรับผิดชำระเงินเพิ่ม และหรือเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากภาษีอากรที่ต้องเสียในบางกรณีแม้ไม่ถึงกำหนดเวลาชำระภาษีอากร
5.  การอุทธรณ์ภาษีอากร  ในกรณีเกิดปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขัดแย้งพิพาทกันระหว่างผู้เสียภาษีอากรและผู้จัดเก็บภาษีอากร  เกี่ยวกับจำนวนภาษีอากรที่ต้องเสียหรืออำนาจการประเมินเรียกเก็บภาษีอากร  และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องการให้มีการพิจารณาทบทวนใหม่  กฎหมายมักกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีหาข้อยุติให้ครบถ้วนเสียก่อน  มิฉะนั้นผู้เสียสิทธิในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้
6.   เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษ   ผู้ไม่ชำระภาษีอากรจะต้องรับผิดชอบในจำนวนภาษีอากรที่ไม่ชำระพร้อมด้วยเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มเป็นจำนวนเงินเพิ่มขึ้นต่างหากถ้าฝ่าฝืนไม่ยอมชำระ กฎหมายมักให้อำนาจเจ้าพนักงานดำเนินการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินไปชำระภาษีอากรค้างโดยไม่ต้องฟ้องคดีศาล

ใบความรู้ที่ 30หฏหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร


ใบความรู้ที่ 30
กฏหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร


 กฎหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร
     ชายไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารตามระยะเวลาที่ทางราชการกำหนด โดยมีพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 กล่าวไว้ว่า "บรรดาชายที่มีสัญชาติเป็นไทยตามกฏหมาย เมื่อมีอายุย่างเข้าสิบแปดปีในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตนภายในเดือนพฤศจิกายนของพุทธศักราชนั้น ผู้ใดไม่สามารถจะไปลงบัญชีทหารกองเกินด้วยตนเองได้ ต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและพอจะเชื่อถือได้ไปแจ้งแทนให้นายอำเภอสอบสวนให้แน่ชัดเพื่อลงบัญชีหารกองเกินไว้ถ้าไม่มีผู้แทน ให้ถือว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงขัดขึ้น" โดยชายไทยที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะต้องปฏิบัติดังนี้
1. การลงบัญชีทหารกองเกิน  ชายซึ่งมีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุย่างเข้า 18 ปีใน พ.ศ.ใด ให้ไปแสดงคนที่อำเภอซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหารของตน เพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปี พ.ศ.นั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 300 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หลักฐานที่จะต้องนำไปแสดง คือ สูติบัตร บัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านเมื่อไปแสดงตนแล้วทางอำเภอจะออกไปสำคัญ (สด.9) หรือใบรับ (สด.10) ให้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
2. การรับหมายเรียกผู้ลงบัญชีเป็นทหารกองเกิน เมื่อมีอายุย่างเข้า 21 ปี ในพ.ศ.ใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่อำเภอที่เขต ซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหารของตน ภายในปี พ.ศ.นั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 300 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 3. การตรวจคัดเลือกทหาร  เมื่อรับหมายเรียกแล้ว ทหารกองเกินจะต้องไปแสดงตนเพื่อรับการตรวจเลือกเป็นทหารประจำการ ในวัน และเวลา และสถานที่ที่กำหนด มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หลักฐานที่จะต้องนำไปแสดง คือ ใบสำคัญทหารกองเกน บัตรประจำตัวประชาชน และประกาศนียบัตรหรือหลักฐานการศึกษา
4. บุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ได้แก่ พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์หรือมีเปรียญ ข้าราชการครู และคนพิการทุพพลภาพไม่สามารถเป็นทหารได้

ใบความรู้ที่ 28
กฏหมายเกี่ยวกับครอบครัว


 กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวที่สำคัญ เช่นกฎหมายเกี่ยวกับการหมั้น กฎหมายเกี่ยวกับการสมรส กฎหมายเกี่ยวกับการรับรองบุตร เป็นต้น
1. กฎหมายเกี่ยวกับการหมั้น หมายถึง การที่ชายและหญิงทำสัญญาว่าจะทำการสมรสกันเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ แต่จะฟ้องศาลบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งทำการสมรสไม่ได้เมื่อมีการหมั้นแล้วของหมั้นตกเป็นสิทธิของฝ่ายหญิงการเลิกสัญญาหมั้นด้วยความยินยอมทั้งสองฝ่าย ย่อมทำได้โดยไม่ต้องทำหลักฐานใด ๆ
2. กฎหมายเกี่ยวกับการสมรส หมายถึง การที่ชายและหญิงสมัครใจที่จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยจะต้องมีการจดทะเบียนสมรสกับนายทะเบียนเพื่อเป็นหลักฐาน โดยเงื่อนไขที่สำคัญของการสมรสตามกฎหมายผู้ที่จะทำการสมรสได้จะมีคุณสมบัติดังนี้
   1. จะต้องเป็นชายและหญิงที่มีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
   2. ชายหรือหญิงจะต้องไม่เป็นผู้วิกลจริตและไม่เป็นเพศเดียวกัน
   3. ชายหรือหญิงจะต้องไม่เป็นญาติหรือสืบสายโลหิตต่อกันโดยตรงหรือไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและไม่เป็นบุตรบุญธรรม
   4. ไม่เป็นผู้ที่มีสามีหรือภรรยาอยู่แล้ว หากเป็นหญิงม่ายต้องหย่าขาดจากสามีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 310 วัน
   5. การสมรสจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงและจะทำได้เพียงคนเดียวไม่สามารถทำการสมรสซ้อนได้จนกว่าจะมีการหย่าขาดจากกันถูกต้องตามกฎหมายก่อน
   6.  ผู้เยาว์จะทำการสมรสได้เมื่อได้รับคำยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
   7.  การสมรสนั้นจะต้องมีการจดทะเบียนสมรสจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย
3.  กฎหมายเกี่ยวกับการรับรองบุตร  การรับรองบุตรบุญธรรม คือการรับเอาเด็กซึ่งไม่ได้เป็นลูกของตนเองมาเป็นบุตรของตน ซึ่งจะมีความสมบูรณ์เมื่อมีการรับรองบุตรก่อนเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การรับบุตรบุญธรรมที่สำคัญมีดังนี้
    1. บุคคลที่จะรับบุตรบุญธรรมได้จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และได้รับการยินยอมจากคู่สมรส นอกจากนั้นต้องมีอายุห่างจากบุตร 15 ปี ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของบุตรบุญธรรม
    2. การรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมายแล้วเท่านั้น
    3. ถ้าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมมีอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ย่อมมีสิทธิให้ความยินยอมด้วย
    4. บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้นแต่จะไม่สูญเสียสิทธิในครอบครัวที่ให้กำเนิดมาและการรับบุตรบุญธรรมจะมีความสมบูรณ์เมื่อมีการจดทะเบียนตามกฎหมายแล้วเท่านั้น
    5.  กฎหมายเกี่ยวกับมรดก คำว่า มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ตลอดทั้งความรับผิดชอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิต ซึ่งทายาทโดยธรรมคือผู้ทีจะได้รับมรดกจากผู้ตายเป็นลำดับแรก ซึ่งกฎหมายได้จัดแบ่งทายาทโดยธรรม ออกเป็น 6 ชั้น ดังนี้
      1. ผู้สืบสันดาน (บุตร) บิดา มารดา
      2. พี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน
      3. พี่น้องร่วมแต่บิดา
      4. พี่น้องร่วมแต่มารดา
      5. ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา
      6. คู่สมรสซึ่งหมายถึงสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมา

ใบความรู้ที่ 29 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน


ใบความรู้ที่ 29
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน
    รัฐธรรมนูญ หมายถึงกฎหมายสูงสุดของประเทศที่บอกถึงลักษณะ โดยทั่วไปในการปกครองประเทศ
    รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ว่าด้วยรูปแบบการปกครองประเทศ สิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยถือว่าเป็นกฎหมายที่เป็นแม่บทที่สำคัญที่สุด ซึ่งกฎหมายอื่นจะมาขัดแย้งมิได้ ดังนั้นจึงพอสรุปความสำคัญของรัฐธรรมนูญได้ดังนี้
1. เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่บัญญัติถึงระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐ เช่น หลักการบริหารแผ่นดินต่างๆ เป็นต้น
2. เป็นกฎหมายที่ให้หลักประกันในด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชน
3. การร่างรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องมาจากความต้องการของกลุ่มคนทุกสาขาอาชีพจึงมีความหลากหลายผสมผสานกันจนลงตัว
4. เป็นกติกาทุกคนในประเทศต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ




หลักการของรัฐธรรมนูญของไทย ทีสำคัญมีดังนี้
1. การประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยรัฐธรรมนูญจะมีการบัญญัติเรื่องสิทธิของประชาชนไว้อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับให้ความสำคัญสูงสุด
2. การประกันความเท่าเทียมกัน   รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับจะบัญญัติถึงฐานะของประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศว่ามีฐานะเท่าเทียมกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและทางสังคมสูงต่ำเพียงใด ย่อมมีสิทธิ์ได้รับการบริการจากรัฐโดยเท่าเทียมกัน
3. การมีส่วนร่วมของประชาชน  ถือเป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ให้อำนาจประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองได้ง่ายขึ้น เช่น ประชาชนจำนวน 20,000 คน สามารถลงชื่อร้องของต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาพถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งหรือการกระจายอำนาจให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเลือกตั้งผู้นำท้องถิ่นของตน ได้ก็ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน เป็นต้น
4. การถ่วงดุลของอำนาจการปกครองต่าง ๆ ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยประกอบด้วยอำนาจอธิปไตย 3 อำนาจ คือ อำนาจบริหาร ทำหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง อำนาจนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ในการร่างและพิจารณากฎหมายเพื่อนำไปใช้บังคับในประเทศ อำนาจตุลาการ ทำหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม

ใบความรู้ที่ 27 กฏหมายเกี่ยวกับบุลคล


ใบความรู้ที่ 27 
กฏหมายเกี่ยวกับบุคคล


 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกคนเป็นหลักปฏิบัติเพื่อใช้ควบคุมสังคมให้มีความสงบสุข กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว เช่น
กฎหมายเกี่ยวกับการเกิด กฎหมายเกี่ยวกับชื่อบุคคล กฎหมายเกี่ยวกับการตาย กฎหมายเกี่ยวกับการสาบสูญ กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนบ้านหรือการย้ายที่อยู่ กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา กฎหมายเกี่ยวกับความสามารถของผู้เยาว์ และ
กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวที่สำคัญ ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับการหมั้น กฎหมายเกี่ยวกับการสมรส กฎหมายเกี่ยวกับการรับรองบุตร การรับรองบุตรบุญธรรม กฎหมายเกี่ยวกับมรดก เป็นต้น
กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล ได้แก่ กฎหมายที่รองรับการมีสภาพบุคคล คือ การรับรองบุคคลว่าเป็นผู้มีความสามารถมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ โดยมีกฎหมายที่สำคัญดังนี้
1. กฎหมายเกี่ยวกับการเกิด กฎหมายรับรองความเป็นบุคคลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อายุ 27 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอวัยวะครบถ้วน เมื่อมีคนเกิดภายในบ้าน เจ้าของบ้านมีหน้าที่แจ้งเกิดภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันเกิด หากไม่แจ้งภายใน 15 วัน ก็สามารถแจ้งใน 15 วันต่อไปได้
2. กฎหมายเกี่ยวกับชื่อบุคคล พระราชบัญญัติบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดหลักเกณฑ์ว่าชื่อบุคคลต้องไม่พ้องหรือคล้องกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี ต้องไม่มีความหมายหยาบคาย ไม่มีเจตนาทุจริต มีพยัญชนะไม่ต่ำกว่า 10 พยางค์ โดยกฎหมายกำหนดให้บุคคลธรรมดามีชื่อตัวและชื่อสกุล ชื่อตัวเองจะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ โดยแจ้งพร้อมกับการแจ้งคนเกิดในสูติบัตร การขอเปลี่ยนแปลงชื่อตัว และชื่อสกุลต้องแจ้งต่อนายทะเบียน

 3. กฎหมายเกี่ยวกับการตาย เป็นสัญลักษณ์ตามธรรมชาติของทุกคนตามกฎหมาย ถ้ามีการตายต้องแจ้งต่อทางราชการภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาที่พบเห็นการตาย สถานที่แจ้งว่าคนตาย
โดยหากพบคนตายนอกเขตเทศบาล ให้แจ้งที่ที่ทำการกำนัน หากพบคนตายในเขตเทศบาลให้แจ้งที่สำนักงานเทศบาล หากผู้มีหน้าที่แจ้งตายไม่แจ้งการตายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว ย่อมมีความผิด

ใบความรู้ที่ 26 กระบวนการตรากฏหมาย



ใบความรู้ที่ 26
กระบวนการในการตรากฏหมาย


 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550  บัญญัติไว้ดังนี้
1. ผู้มีสิทธิเสนอกฎหมาย มาตรา 63 บัญญัติไว้ว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 10,000 คน เป็นผู้มีสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
     1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย บุคคลที่แปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
     2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1  มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
     3. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง

 2.  ขั้นตอนการตรากฎหมาย  การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 10,000 คน ร่วมกันเข้าชื่อเสนอมี 3 วาระ ดังนี้
วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ  สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้พิจารราและลงมติว่าจะรับหรือไม่รับหลักการโดยมีการอภิปรายของสมาชิกอย่างกว้างขวาง ประธานสภาพจะเปิดโอกาสให้ผู้เสนอร่างชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในการประชุม เมื่อสภาลงมติรับร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เข้าสู่การพิจารณาในลำดับต่อไป แต่ถ้ามีมติไม่รับร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จะตกไป
วาระที่ 2 การพิจารณาในรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ  จะทำในรูปแบบคณะกรรมการเต็มสภาคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทำหน้าที่กรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายนั้น หรือจะทำในรูปของคณะกรรมาธิการที่สภาแต่งตั้งจะแต่งตั้งจากสมาชิกบางคนเข้ามาเป็นกรรมาธิการ เพื่อศึกษากฎหมายแล้วจึงนำเสนอต่อสภา เพื่อให้พิจารณาต่อไป โดยสมาชิกจะมีการพิจารณากว้างขวาง
วาระที่ 3  ขั้นการลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในกรณีที่มีมติเห็นชอบประธานสภาผู้แทนราษฎรจะส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
     การพิจารณาในวุฒิสภาจะทำเป็น 3 วาระเช่นเดียวกับการพิจารณาของสภาพผู้แทนราษฎร แต่มีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจน โดยจะต้องพิจารณาให้เห็นแล้วเสร็จภายในหกสิบวัน แต่ถ้าวุฒิสภาพิจารณาไม่ทันตามกำหนดถือว่าวุฒิสภาพได้ให้ความเห็นชอบ โดยถ้าพิจารณาเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีนำร่างกฎหมายนั้นขึ้นทูลเกล้าพระมหากษัตริย์เพื่อลงพระลงปรมาภิไธยและประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่ถ้าวุฒิสภาลงมติไม่เห็นชอบให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาพผู้แทนราษฎรเพื่อไปแก้ไขต่อไป ในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันเมื่อพ้นแล้ว และถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว

ใบความรู้ที่ 25 ลักษณะและประเภทของกฏหมาย



ใบความรู้ที่ 25  
ลักษณะและประเภทของกฏหมาย


 ลักษณะของกฎหมาย
กฎหมายโดยทั่วไปจะมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. กฎหมายต้องมีลักษณะเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ คือ ต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับให้ประชาชนพลเมืองกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
2. กฎหมายต้องมีลักษณะเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นโดยผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ  การที่เราทราบว่าใครมีอำนาจสูงสุดในประเทศต้องดูจากระบอบการปกครองของประเทศนั้นว่ามีการปกครองในระบอบใด หรือปกครองโดยใคร คำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากผู้มีอำนาจย่อมเป็นกฎหมาย
3. กฎหมายจะต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป  โดยทั่วไปกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับนั้นต้องมีการประกาศให้ทุกคนทราบเสียก่อน สำหรับกฎหมายไทยจะประกาศทางหนังสือของราชการที่เรียกว่าราชกิจจานุเบกษา  กฎหมายเมื่อถูกใช้บังคับแล้วย่อมมีผลบังคับได้โดยทั่วไป คือใช้บังคับแก่บุคคลทุกคนไม่บังคับเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น
4. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ทั้งนี้เมื่อกฎหมายได้ประกาศใช้แล้ว จะต้องมีสภาพบังคับแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามถ้าหากไม่มีสภาพบังคับแล้วก็ไม่ใช่กฎหมาย



ประเภทของกฎหมายจำแนกตามขอบเขตของการใช้ มี 2 ประเภท คือ
1. กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ แผนกคดีเมือง แผนกคดีบุคคล และแผนกคดีอาญา
2. กฎหมายภายในประเทศ คือ กฎหมายที่ใช้บังคับภายในรัฐต่อบุคคลทุกคนที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้นเป็นกฎหมายที่เกิดจากอธิปไตยของรัฐนั้น จำแนกได้ 2 ประเภท
   กฎหมายเอกชน  บัญญัติเกี่ยวกับความสำคัญระหว่างบุคคลกับบุคคล แบ่งออกได้ดังนี้
     1. กฎหมายแพ่ง  บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของประชาชน
2. กฎหมายพาณิชย์  กำหนดความสัมพันธ์ของบุคคลที่ทำธุรกิจการค้า
    3. กฎหมายพิจารณาความแพ่ง  เป็นกฎหมายว่าด้วยข้อบังคับที่ใช้ในการดำเนินคดีความแพ่ง ซึ่งผู้พิพากษาจะต้องนำมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสิน
    กฎหมายมหาชน  เป็นกฎหมายที่รัฐเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคู่กรณีกับเอกชนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้บังคับใช้แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
     1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศจะกำหนดรูปแบบการปกครองของรัฐ การใช้อำนาจอธิปไตยและอื่น ๆไว้ ซึ่งกฎหมายอื่นจะมาขัดแย้งมิได้
     2. กฎหมายการปกครอง  เป็นกฎหมายที่ขยายความให้ละเอียดจากรัฐธรรมนูญ
     3. กฎหมายอาญา  เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องทางอาญา เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และรักษาศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
     4. กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียด วิธีพิจารณาความคดีอาญาในศาล
     5. กฎหมายเกี่ยวกับภาษี เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิดทางภาษี




ประเภทของกฎหมายจำแนกตามองค์กรที่จัดทำกฎหมาย
1. กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรพิเศษ  ได้แก่  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ จัดร่างโดยองค์กรพิเศษที่ตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
2. กฎหมายที่จัดทำโดยนิติบัญญัติ  ได้แก่ พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามตำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภาและมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในพระราชกิจจานุเบกษา
3. กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรฝ่ายบริหาร
         1.  พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีและมีผลบังคับใช้เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาออกในสถานการณ์ฉุกเฉิน
         2. พระราชกฤษฎีกา  เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตรยิ์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายรายละเอียดตามที่พระราชบัญญัติหรือรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้
         3.  กฎกระทรวง  คือ กฎหมายซึ่งรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติจัดทำขึ้นเพื่อกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ตามที่พระราชบัญญัติให้อำนาจไว้
         4.  กฎหมายที่จัดทำโดยองค์การส่วนท้องถิ่น  กฎหมายประเภทนี้เป็นกฎหมายที่มีฐานะต่ำกว่ากฎหมายพระราชบัญญัติ และผลบังคับใช้เฉพาะในองค์กรส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ มิได้ใช้บังคับทั่วประเทศ

 ประเภทของกฎหมายที่จัดตามบทบาทของกฎหมาย
1. กฎหมายสารบัญญัติ  เป็นกฎหมายซึ่งกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลตามกฎหมาย โดยบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิด หรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษทางอาญาหรือแพ่งแล้วแต่กรณี กฎหมายสารบัญญัติเป็นกฎหมายที่กำหนดแต่เนื้อหาของกฎหมายล้วนๆ
2. กฎหมายวิธีบัญญัติ  เป็นกฎหมายที่ใช้ประกอบกับกฎหมายสารบัญญัติ หรือกำหนดวิธีบังคับให้เป็นไปตามสิทธิ หน้าที่หรือกฎหมายที่กำหนดไว้ในกฎหมายสารบัญญัติ โดยต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม

ใบความรู้ที่ 24 ความสำคัญของกฏหมายต่อสังคม



ใบความรู้ที่ 24
ความสำคัญของกฏหมายต่อสังคม


 ความสำคัญของกฏหมายที่มีต่อสังคม  
   กฎหมายมีความสำคัญในฐานะเป็นกฎกติกา เพื่อให้สมาชิกทุกคนถือปฏิบัติ ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าผู้นั้นจะมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อกฎหมายหรือไม่
ประชาชนทุกคนในประเทศต้องรู้ว่าควรประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรจึงถูกต้องดีงาม และเป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และประชาชนในประเทศต้องเรียนรู้กฎหมายทุกคน และเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
โดยกฎหมายจะเป็นสิ่งที่พัฒนามาจากจารีตประเพณีของสังคม ดังนั้นหลักกฎหมายส่วนใหญ่จึงจะไม่มีความขัดแย้งกับจารีตประเพณี
โดยกฏหมายจะต้องสร้างความยุติธรรมให้แก่สังคม เพราะกฎหมายเป็นหลักกติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ เท่าเทียมกัน
เมื่อการปฏิบัติของบุคคลหนึ่งที่มีการเอาเปรียบเกิดขึ้น กฏหมายจะขาดความยุติธรรมและจะเกิดความขัดแย้งในสังคมเกิดขึ้น
แต่หากกฏหมายมีความยุติธรรมไม่เลือกปฏิบัติแล้วประชาชนจะมีความสุขจากการมีอยู่ของกฏหมายนี้
    กฎหมายทำให้เกิดความสงบและความเป็นระเบียบขึ้นในสังคม  เพราะหลักกฎหมายเป็นลักษณะของข้อห้ามมีบทลงโทษสำหรับผู้ควรทำผิดที่ชัดเจน
ดังนั้นกฎหมายจึงทำให้ประชาชนทุกคนมีความยำเกรงเพราะการฝ่าฝืนกฎหมายจะได้รับการลงโทษอย่างเฉียบขาด เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดความสงบสุขของประเทศชาติ
   กฎหมายทำให้ผู้ปฏิบัติตามสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข  ไม่ต้องคอยหลบเลี่ยงความผิด มีสมาธิกับการทำงาน ไม่ต้องเกรงกลังการถูกลงโทษส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี ชีวิตครอบครัวมีความสุข
  กฏหมายทำให้คนรู้จักสิทธิหน้าที่ของตัวเองที่ควรกระทำต่อสังคม ไม่ออกนอกทางในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ ทำให้บ้านเมืองเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ อีกทั้งยังมีประโยชน์ในทางการเมืองการปกครอง ถ้าประชาชนรู้กฎหมายก็จะเป็นการเสริมสร้าง ความมั่นคงของการปกครองและการบริหารงานทางการเมือง การปกครอง ประโยชน์สุขก็จะตกอยู่กับประชาชน  
ใบความรู้ที่ 23  
ความหมายและที่มาของกฏหมาย


 การมีกฎหมายคู่สังคม ทำให้การแสดงความคิดเห็นแตกต่างกัน แล้วแต่มุมของบุคคล ดังนั้นการให้คำจำกัดความของกฎหมายจึงแตกต่างกัน แต่เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย อาจเริ่มต้นมองว่า “กฎหมาย” คือ กฎที่คนในสังคมยอมรับเป็นกติกาเพื่อเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติระหว่างกัน กฎหมายจึงเป็นกฎเพื่อให้คาดหมายพฤติกรรมในอนาคตได้ อาจแยกความหมายตามลักษณะ ดังนี้
   1. กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์สำหรับใช้เป็นมาตรฐาน คือ แนวทางในการปฏิบัติตาม ในขณะเดียวกันก็เป็นมาตราชี้วัด และตัดสินความถูกผิด
   2. กฎหมายมีผูกพันเนื่องจากเป็นการยอมรับร่วมกันโดยคนส่วนใหญ่ในสังคม เมื่อสมาชิกในสังคมเห็นว่าแนวปฏิบัติมีความสำคัญจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกัน จะต้องปฏิบัติตามโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิฉะนั้นต้องถูกลงโทษในระดับที่รุนแรง ปัจจุบันการยอมรับกฎหมายทำโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติประกอบด้วยผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน และประกาศใช้บังคับแก่ประชาชน
   3. กฎหมายเป็นแนวปฏิบัติสำคัญสำหรับความประพฤติของสมาชิกในสังคม ความประพฤติคือ การกระทำเป็นแนวทางการประพฤติด้านควบคุมและด้านคุ้มครองแก่คนในสังคม ซึ่งเป็นการให้สิทธิเสรีภาพโดยผู้อื่นต้องมีหน้าที่เคารพด้วย
   4. ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน อาจถูกบังคับโดยสถาบัน และตามกระบวนการที่สังคมยอมรับ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นมาตรการที่มีเพื่อให้กฎหมายมีประสิทธิภาพ
 ที่มาของกฎหมาย
  ที่มาของกฎหมายมีความเข้าใจแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะอธิบายที่มาของกฎหมายตามความหมาย
1. มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ  ซึ่งในสมัยโบราณหมายถึงพระมหากษัตริย์ แต่ในยุคปัจจุบันการออกกฎหมายเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภาผู้มีอำนาจออกกฎหมาย
2. กฎหมายคือคำสั่งหรือคำสั่งสอนของศาสนา  โดยการทำผิดหลักศาสนาถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายด้วย
3. กฎหมายมาจากจารีตประเพณีทีคนในสังคมยอมรับนับถือ แล้วปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนแต่เป็นที่รับรู้กันทั่วไป เช่น กฎหมายของประเทศอังกฤษเป็นต้น
4. มาจากคำพิพากษาของศาลในการตัดสินคดีความ  จะเป็นที่มาของกฎหมายอีกอย่างหนึ่งเพราะถ้าเกิดคดีที่มีความคล้ายคลึงกันต้องยึดเอาบรรทัดฐานของการตัดสินครั้งก่อนมาเป็นแบบอย่าง เป็นต้น
ใบความรู้ที่ 22  
การเปลี่ยนแปลงและปัญหาในสังคมไทย


 การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสำคัญของสมาชิกในสังคมไทย ซึ่งมี 3 ด้าน คือ ด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางด้านต่าง ๆ ของสังคมไทยมีดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครอง มีการปกครองในแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัยตอนต้น โดยพระมหากษัตริย์มีความใกล้ชิดกับประชาชน และต่อมาได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองมาเป็นการปกครองแบบธรรมราชา
ในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ซึ่งความสำคัญของพระมหากษัตริย์กับประชาชนห่างเหินกันมากขึ้น และมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือเทวราชา ที่ยกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ
เป็นรูปแบบการปกครองที่ใช้จนถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการประกาศยกเลิก โดยมีการปกครองแบบมณฑล แทนการจัดหัวเมือง ยกเลิกจตุสดมภ์ และตั้งกระทรวงต่าง ๆ เข้ามาทำหน้าที่แทน
รวมถึงการตั้งสภาเพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมาถึงยุคสมัยของรัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24  มิถุนายน  พ.ศ.2475 ได้มีการเปลี่ยน แปลง ทางด้านการเมืองการปกครองที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองจากแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย


2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ  คนไทยจากอดีตถึงปัจจุบันยึดอาชีพในการทำการเกษตรตลอดมา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จะเป็นเศรษฐกิจเพื่อยังชีพ ซึ่งการผลิตสินค้าด้านต่าง ๆ  จะใช้เพื่อบริโภคภายในครอบครัว หรือชุมชนของตัวเองเป็นสำคัญ การค้าขายยังไม่แพร่หลาย เป็นการค้าขายกับจีนเป็นสำคัญ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไทยได้ทำสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากเศรษฐกิจเพื่อยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจเพื่อการค้า สมัยของรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์  ในปี พ.ศ.2504 ได้มีการประกาศให้ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกและใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
3. การเปลี่ยนปลงทางด้านสังคมวัฒนธรรมของไทย สังคมวัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิผลมาจากพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากอินเดียและจีนเป็นส่วนใหญ่ สมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม โดยใช้ศักดินาเป็นเครื่องมือแบ่งคนในสังคมออกเป็น 4ชนชั้น คือ ชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง ไพร่ ทาส และใช้มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์ได้ทรงประกาศเลิกไพร่และทาส ทำให้ไม่มีชนชั้นในสังคมอีกต่อไป คนไทยจึงมีสิทธิเท่าเทียมกันจนถึงปัจจุบันและสังคมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมของชาติตะวันตกมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การแต่งกาย ความนิยมในด้านวัตถุต่างๆ เป็นต้น

ใบความรู้ที่ 22 การเปลี่ยนแปลงปัญหาในสังคมไทย

ใบความรู้ที่ 22  
การเปลี่ยนแปลงและปัญหาในสังคมไทย


 การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสำคัญของสมาชิกในสังคมไทย ซึ่งมี 3 ด้าน คือ ด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางด้านต่าง ๆ ของสังคมไทยมีดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครอง มีการปกครองในแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัยตอนต้น โดยพระมหากษัตริย์มีความใกล้ชิดกับประชาชน และต่อมาได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองมาเป็นการปกครองแบบธรรมราชา
ในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ซึ่งความสำคัญของพระมหากษัตริย์กับประชาชนห่างเหินกันมากขึ้น และมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือเทวราชา ที่ยกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ
เป็นรูปแบบการปกครองที่ใช้จนถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการประกาศยกเลิก โดยมีการปกครองแบบมณฑล แทนการจัดหัวเมือง ยกเลิกจตุสดมภ์ และตั้งกระทรวงต่าง ๆ เข้ามาทำหน้าที่แทน
รวมถึงการตั้งสภาเพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมาถึงยุคสมัยของรัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24  มิถุนายน  พ.ศ.2475 ได้มีการเปลี่ยน แปลง ทางด้านการเมืองการปกครองที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองจากแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย


2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ  คนไทยจากอดีตถึงปัจจุบันยึดอาชีพในการทำการเกษตรตลอดมา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จะเป็นเศรษฐกิจเพื่อยังชีพ ซึ่งการผลิตสินค้าด้านต่าง ๆ  จะใช้เพื่อบริโภคภายในครอบครัว หรือชุมชนของตัวเองเป็นสำคัญ การค้าขายยังไม่แพร่หลาย เป็นการค้าขายกับจีนเป็นสำคัญ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไทยได้ทำสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากเศรษฐกิจเพื่อยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจเพื่อการค้า สมัยของรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์  ในปี พ.ศ.2504 ได้มีการประกาศให้ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกและใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
3. การเปลี่ยนปลงทางด้านสังคมวัฒนธรรมของไทย สังคมวัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิผลมาจากพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากอินเดียและจีนเป็นส่วนใหญ่ สมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม โดยใช้ศักดินาเป็นเครื่องมือแบ่งคนในสังคมออกเป็น 4ชนชั้น คือ ชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง ไพร่ ทาส และใช้มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์ได้ทรงประกาศเลิกไพร่และทาส ทำให้ไม่มีชนชั้นในสังคมอีกต่อไป คนไทยจึงมีสิทธิเท่าเทียมกันจนถึงปัจจุบันและสังคมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมของชาติตะวันตกมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การแต่งกาย ความนิยมในด้านวัตถุต่างๆ เป็นต้น

ใบความรู้ที่ 21 ลักษณะของสังคมไทยและค่านิยม


  1. ใบความรู้ที่ 21  
  2. ลักษณะของสังคมไทยและค่านิยม



 จากสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง ภูเขา และชายทะเล ทำให้เกิดความแตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นของไทย จำแนกได้ดังนี้
1. เป็นสังคมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  เป็นศูนย์รวมจิตใจของชนทั้งชาติ ชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้ความเคารพนับถือ ทำหน้าที่ปกครองประเทศ ดูแลพสกนิกรชาวไทยให้รอดพ้นจากอันตรายต่าง ๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
2. เป็นสังคมที่ยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของชาติไทย  ได้กำหนดค่านิยม ความเชื่อ แนวความคิด และบรรทัดฐานทางสังคมของชาติไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่สมัยของอาณาจักรสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน
3. เป็นสังคมที่ยึดอาชีพเกษตรกร ไทยเป็นประเทศเกษตรกรที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีความผูกพันอาชีพเกษตรมาตั้งแต่โบราณ จึงเกิดประเพณีและวัฒนธรรมขึ้น ส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรและการมีชีวิตอยู่ในชนบท
4. เป็นสังคมที่มีวิธีการดำเนินชีวิตและบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์  คือ คนไทยจะมีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพผู้ใหญ่ เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแฟ่ เมตตากรุณา และผูกพันกับครอบครัว นิยมความสนุกสนาน ยึดถือระบบเครือญาติ
5. เป็นสังคมที่ยึดในการกุศล นิยมทำบุญในวันสำคัญในเทศกาลต่าง ๆ มีตลอดทั้งปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ นักขัตกฤษ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ยึดถือพิธีกรรมตามความเชื่อต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด

 6. เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น  มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการใช้ศักดินาเป็นเครื่องมือในสมัยอยุธยา มีการยึดถืออำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นสำคัญ ต่อมามีการยกเลิก สังคมไทยจึงหันไปยึดการมีจำนวนทรัพย์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งชนชั้น โดยผู้มีทรัพย์มากเป็นชนชั้นสูงและผู้มีทรัพย์น้อยเป็นคนชั้นต่ำเป็นต้น
7. เป็นสังคมชนบท เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของไทยอาศัยอยู่ในชนบทที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันยึดมั่นในขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิม มีฐานะยากจนให้ความสำคัญในตัวบุคคลมากกว่าหลักการ เป็นสังคมที่อนุรักษ์นิยม ประชาชนมีความสามารถในการปรับตัวช้า
8. เป็นสังคมที่รักความเป็นอิสระ  ซึ่งเป็นนิสัยของคนไทยที่รักความเป็นอิสรเสรี ไม่ชอบการถูกบังคับ รักความสงบซึ่งเป็นอิทธิพลที่รับมาจากหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
9. เป็นสังคมที่ยอมรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติมาปฏิบัติได้ง่าย เพราะเป็นสังคมที่มีความประนีประนอมสูง เป็นสังคมที่เปิดกว้างพร้อมที่จะรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา

ใบความรู้ที่ 20 ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมสากลกับวัฒนธรรมไทยและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยที่เหมาะสม



                                                   ใบความรู้ที่ 20
    ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมสากลและวัฒนธรรมไทยและการเปลี่ยน
แปลงวัฒนธรรมไทยที่เหมาะสม


 ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมสากลกับวัฒนธรรมไทย สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1. วัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญกับจิตใจเป็นสำคัญ โดยมุ่งจุดหมายสำคัญ เพื่อขัดเกลาจิตใจของสมาชิกในสังคมให้เป็นคนดีประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีแต่วัฒนธรรมสากลให้ความสำคัญกับการสะสมทางด้านวัตถุหรือความร่ำรวยเป็นสำคัญโดยไม่สนใจว่าจะสามารถหาทรัพย์มาได้โดยวิธีใดหากบุคคลใดมีทรัพย์สินมากก็จะได้รับการยอมรับจากคนในสังคม
2. วัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมของผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่อาศัยอยู่ในเขตชนบท จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดดำรงชีวิตอยู่โดยการพึ่งพาอาศัยกัน เป็นลักษณะของครอบครัวรวมแต่วัฒนธรรมสากลจะเป็นวัฒนธรรมของผู้ที่ประกอบอาชีพทางด้านอุตสาหกรรมและบริการที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองจึงไม่มีการพึ่งพาอาศัยกันมากนัก เป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่
3. วัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสสังคม เนื่องจากท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมมากมายเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มีความรู้ความสามารถจึงได้รับการยกย่องและยอมรับจากทุกคนในสังคม ซึ่งมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมของผู้ที่มีความรู้โดยวัดจากใบปริญญาบัตรหรือใบประกาศต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสมากนัก
4. วัฒนธรรมไทยมีพื้นฐานมาจากความเชื่อของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จึงมีลักษณะนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์โดยทั่วไปแต่วัฒนธรรมสากลส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมของชาติตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์จึงมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

 5. วัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของไทยประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา จึงมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยมากที่สุดเป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของคนไทยที่ไม่เหมือนใครที่คนไทยยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลานานแต่วัฒนธรรมสากลบางอย่างจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทยเนื่องจากรับมาจากต่างประเทศและไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย

ใบความรู้ที่ 19 ลักษณะและความสำคัญของวัฒนธรรมไทยและสากล


ใบความรู้ที่ 19 ลักษณะและความสำคัญของวัฒนธรรมไทยและสากล

 


วัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่ดีงาม ได้หล่อหลอมให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประชาชนได้ยึดถือและนำมาปฏิบัติใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเป็นเครื่องเหนี่ยวนำให้คนในชาติมีความรู้สึกเป็นพวกพ้องเดียวกัน วัฒนธรรมไทยมีลักษณะและความสำคัญดังนี้
    การเคารพผู้อาวุโส  วัฒนธรรมของไทยจะไความสำคัญต่อการเคารพผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่งเพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณและมีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้กับสังคมจนมาถึงปัจจุบัน การตอบแทนพระคุณในสังคมไทยสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การที่ลูกได้บวชเรียนเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณพ่อแม่ การเลี้ยงดูเมื่อยามแก่เฒ่า เป็นต้น
   มีความศรัทธาในการทำบุญ  คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษดังนั้น ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันธรรมสวนะ  ชาวพุทธจะนิยมไปทำบุญตักบาตรเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว
   การสร้างความรักความผูกพันในครอบครัว  พื้นฐานทางสังคมไทยส่วนใหญ่จะเป็นสังคมชนบทที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนจึงมีความรักความผูกพันต่อกันมีการแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลในด้านต่าง ๆ และจะมีการถ่ายทอดความรู้สึกนี้ไปสู่คนรุ่นต่อไปทำให้สังคมเกิดความสงบสุข
   การมีวัฒนธรรมทางด้านศิลปกรรมและทางด้านภาษาเป็นของตนเอง  เนื่องจารกประชาชนส่วนใหญ่ของไทย มีความศรัทธาในหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ
งานทางด้านศิลปกรรมส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้น เช่น การสร้างวัด การปั้นพระพุทธรูปเป็นต้น
นอกจากนั้นไทยยังมีภาษาสำหรับใช้ในการติดต่อสื่อสารกันเป็นของตนเองซึ่งทรงประดิษฐ์ขึ้นในปีพ.ศ.1826 สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัยและได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสะดวกและทันสมัยเป็นภาษาประจำชาติของไทยมาจนถึงปัจจุบัน
 ลักษณะและความสำคัญของวัฒนธรรมสากล
    วัฒนธรรมสากลเป็นวัฒนธรรมของชาวต่างชาติที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมของประเทศตะวันตกมีลักษณะและความสำคัญพอสรุปได้ดังนี้
1. เป็นความเจริญทางด้านเทคโนโลยีเพื่อนำมาผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในการอำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตมีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อนำมาใช้ในการอำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิตตลอดเวลา
2. เป็นวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการสะสมวัตถุหรือความร่ำรวยเป็นลักษณะของวัตถุนิยมโดยไม่ได้คำนึงถึงศีลธรรมของประชาชนมากนักส่งผลให้เกิดความเห็นแก่ตัวและการใช้หลักกฎหมายในการอยู่ร่วมกัน
3. การกระตุ้นให้ประชาชนมีการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายโดยการใช้เงินซื้อ จึงต้องมีการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อนำมาสนองความต้องการของผู้บริโภคให้เพียงพอ ทำให้มีการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบสำคัญเป็นอย่างมาก
4. เป็นวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลามีประโยชน์กับผู้อาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีเครื่องมือการสื่อสารกันที่ทันสมัยมากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลที่ขาดเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร
5. วัฒนธรรมสากลอาจนำไปสู่ความเสื่อมทางศีลธรรมของท้องถิ่นนั้นได้เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประชาชนซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสภาพ แวดล้อมดังนั้น วัฒนธรรมสากลบางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับบางท้องถิ่นและเป็นสาเหตุทำให้ศีลธรรมอันดีของประชาชนเสื่อมลงด้วย

ใบความรู้ที่ 18;ประเภทและการจัดประเภทของวัฒนธรรม





  ใบความรู้ที่18                                                                                                                                   ประเภทและการจัดประเภทของวัฒนธรรม


ประเภทของวัฒนธรรม
  วัฒนธรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. วัฒนธรรมทางวัตถุ เป็นวัฒนธรรมที่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ เป็นรูปธรรม เช่น หนังสือ แว่นตา รถยนต์ เป็นต้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่สมาชิกในสังคมคิดค้นขึ้นมา
2. วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ เป็นวัฒนธรรมที่มองไม่เห็น เป็นภาพนามธรรม เช่น ค่านิยม มารยาท ปรัชญา  บรรทัดฐาน สถาบัน สังคม ความเชื่อ เป็นต้น
   แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าการแบ่งวัฒนธรรมออกเป็นวัฒนธรรมนามธรรมหรือวัฒนธรรมรูปธรรมจะเป็นการแบ่งที่แยกกันได้อย่างเด็ดขาด
การแบ่งในลักษณะที่ว่านี้เป็นการแบ่งเพื่อความสะดวกในการพิจารณาวัฒนธรรมเท่านั้นตามความเป็นจริง วัฒนธรรมประเภทวัตถุสามารถสื่อความหมาย และมีลักษณะเป็นระบบสัญลักษณ์ที่จับต้องได้
บ้านเรือนที่เราอยู่มีลักษณะเป็นวัฒนธรรมประเภทวัตถุ แต่ถ้าเราพิจารณาลักษณะของบ้านเรือนเราก็จะเห็นว่า บ้านที่มนุษย์เราใช้อาศัยอยู่นั้นอาจจะสร้างด้วยวัตถุที่ต่างกัน เช่น กระท่อมหลังคามุงจาก ย่อมแตกต่างจากบ้านไม้สัก หรือตึกคอนกรีต
นอกจากจะต่างกันตรงวัสดุที่ใช้แล้วยังต่างกันตรงที่ลักษณะของอาคารจะบอกให้คนในสังคมนั้นรู้ได้ว่า เจ้าของบ้านมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไร เศรษฐีย่อมอยู่ตึกหลังใหญ่ คนจนมักจะอาศัยอยู่ในกระท่อม
ถ้ากระท่อมตั้งอยู่ในหมู่บ้านตามต่างจังหวัด ก็ย่อมต่างจากกระท่อมที่ตั้งอยู่ในสลัมกรุงเทพฯ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมประเภทวัตถุย่อมให้ความหมายทางสัญลักษณ์ด้วย


การจัดประเภทตามเนื้อหาของวัฒนธรรม จะแยกได้ 4 ประเภทดังนี้
1. คติธรรม คือ วัฒนธรรมทางศีลธรรมและทางจิตใจ อันเป็นคติหรือหลักการดำเนินชีวิตที่ส่วนใหญ่รับมาจากหลักธรรมทางศาสนามีความเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจเป็นสำคัญ
2. วัตถุธรรม คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ หมายถึง วัตถุทางศิลปกรรม เช่น เจดีย์ บ้านเรือน รวมถึงเครื่องอุปโภคทั้งหลายซึ่งถือว่าเป็นวัตถุทั้งสิ้น โดยคนในสังคมร่วมกันประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต
3.  เนติธรรม คือ วัฒนธรรมทางกฎหมายหรือขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีที่มีความสำคัญเสมอด้วยกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกปฏิบัติตาม
4. สหธรรม คือ วัฒนธรรมทางสังคม เป็นวัฒนธรรมในการติดต่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์หรือมารยาทในสังคมหรือสมาชิกพึงปฏิบัติต่อกันในโอกาสต่าง ๆ

ใบความรู้ที่ 17 ความหมายและลักษณะของวัฒนธรรม



ความรู้ที่ 17 ความหมายและลักษณะของวัฒนธรรม


 วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น ภาษา ศิลปะ กฎหมาย การปกครอง และศีลธรรม เป็นต้น ถือเป็นความเจริญงอกงามทางสติปัญญาของมนุษย์ วัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งเรียนรู้และรับถ่ายทอดมาจากการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกันอันความรวมถึงภาษา ธรรมเนียมประเพณีและสถาบันทางสังคมเป็นวิธีการดำรงชีวิตของคนในสังคม
ลักษณะของวัฒนธรรม
สิ่งที่จัดเป็นวัฒนธรรม มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
1. วัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม เช่น การสร้างอาคารบ้านเรือน คอมพิวเตอร์ เป็นต้น หรือการแต่งเติมสิ่งที่เป็นธรรมชาติให้มีรูปร่างลักษณะใหม่
2. วัฒนธรรมที่เกิดจากการเรียนรู้  วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดและไม่ใช่สิ่งที่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สร้างมนุษย์โดยเด็กจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูแลขัดเกลาสังคมจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ เมื่อเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวและความรู้พื้นฐานก็ปรับปรุงพัฒนาความคิด ประดิษฐ์เป็นวัฒนธรรมใหม่ๆ
3. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมยอมรับ  เป็นส่วนร่วมและนำไปใช้ในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาเป็นแบบแผนการดำรงชีวิตร่วมกันของสมาชิกในสังคม

 4. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สั่งสมและถ่ายทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลัง วัฒนธรรมเป็นผลของการถ่ายทอดและการเรียนรู้จากสมาชิกรุ่นหนึ่งไปสู่สมาชิกอีกรุ่นต่อไป การถ่ายทอดนั้น ต้องใช้เวลา และมีภาษาเป็นสื่อกลางช่วยใช้มนุษย์ได้แสดงความรู้สึกและสามารถเข้าใจผู้อื่นได้  ภายหลังที่มีการสร้างวัฒนธรรมและพัฒนาขึ้นก็จะมีการสั่งสมกลายเป็นองค์ความรู้ของสังคม
5. วัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามกาลเวลาที่สอดคล้องกับธรรมชาติรอบข้างและความต้องการของสมาชิกในสังคม บุคคลที่เกิดในสังคมใดก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของสังคมนั้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละสังคม ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ว่าของใครดีกว่ากัน เพราะแต่ละวัฒนธรรมย่อมมีความเหมาะสมตามสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคม